อุดมการณ์ทางการเมือง
(Political Ideology)
อุดมการณ์ทางการเมือง หมายความถึงประมวลความเชื่อทางการเมือง
ที่เกี่ยวข้องกับเป้าประสงค์และวิธีการเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ทางการเมืองที่กำหนดความแตกต่างในการนำอุดมการณ์ทางการเมืองไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการเราสามารถแยกแยะอุดมการณ์ทางการเมืองได้ดังนี้
ประการแรก อุดมการณ์ทางการเมืองอาจประกอบด้วยความเชื่อของปัจเจกหรือกลุ่มชนที่ไม่จำกัดขนาด ประการที่สอง
จากความเชื่ออาจจะแสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์ทางการเมืองมีลักษณะที่เป็นไปได้ทั้งสูงและต่ำในการแสดงออกที่เกี่ยวข้องกับ
ความชัดเจน การประสมประสาน ความร่วมมือ ในมิติต่างๆ ในสังคม และประการที่สาม
อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นแนวคิดที่นำไปประยุกต์ใช้กับชุดของความเชื่อ
ชุดของความเชื่อทางการเมืองเหล่านั้นจะพบในลัทธินิยมทางการเมือง (Isms) หลากหลาย
ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ได้ให้ความหมายของอุดมการณ์ทางการเมืองไว้ว่า
เน้นถึงเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ทางการเมือง เช่น
การแพร่ขยายของอุดมการณ์ทางการเมือง จะได้รับการตอบสนองของกลุ่มชนมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางสังคม
อันได้แก่บุคลิกภาพ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม
รวมทั้งความเชื่อถือดั้งเดิมโดยทั่วไปของคนในกลุ่ม
แนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองอาจพิจารณาใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้หลายประการเช่น
ใช้เพื่อการรวมกลุ่มและการปกครอง ใช้เพื่อความชอบธรรมทางการเมือง
เพื่อประโยชน์ของชนชั้นผู้นำทางการเมืองหรือแม้แต่การขยายการใช้อำนาจของรัฐบาล
เราอาจกำหนดประเภทของอุดมการณ์ทางการเมืองได้ดังนี้
1 อนุรักษ์นิยม (conservatism)
ลักษณะของอนุรักษ์นิยมคือพยายามที่จะป้องกันหรือลดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเก่า
ความเชื่อเก่า ชั้นทางสังคมเก่า ไปสู่สังคมใหม่ อนุรักษ์นิยมเชื่อว่า
ปัจเจกมีความไม่คงเส้นคงวาในการใช้เหตุผล (Consistently rational)
เป็นเพราะคนมีอารมณ์ซึ่งบางครั้งอยู่เหนือเหตุผล
เป็นเหตุให้การตัดสินใจของคนอาจไม่เป็นที่ยอมรับว่ามีเหตุผลเสมอไปอีกประการหนึ่งพวก อนุรักษ์นิยมเชื่อว่า ปัจเจก
ได้รับการถ่ายทอดความฉลาด ความชำนาญ และแม้แต่สถานะ แตกต่างกัน
ปัจเจกหรือกลุ่มบางกลุ่มมีสถานะ ความรู้ความชำนาญ สูงกว่า และกลุ่มที่ว่านี้คือกลุ่มที่เป็นผู้ใช้อำนาจในสังคมหรือเป็นรัฐบาลความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนกับสังคมอนุรักษ์นิยมเป็นไปภายใต้ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างปัจเจกหรือกลุ่มในด้านอำนาจ
สถานภาพ และการถือครองทรัพย์สิน
แต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคมถูกกำหนดและชี้นำโดย ค่านิยมดั้งเดิม
จริยธรรมทางสังคม
ซึ่งเป็นบทบาทในการชี้นำของสถาบันทางสังคมเช่นครอบครัว วัด หรือแม้แต่รัฐบาล
ซึ่งทำหน้าที่สื่อความหมาย หรือบังคับใช้ค่านิยมเหล่านั้น เสรีภาพของปัจเจกชนในสังคมอนุรักษ์นิยมมีก็จริง
แต่ไม่มีปัจเจกหรือกลุ่มใดๆมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะทำ
อะไรตามใจได้ต้องตกอยู่ภายใต้ประเพณีแห่งสังคม
ศาสนาและประเพณีเป็นที่มาแห่งการชี้นำสังคมมากกว่าความเป็นเหตุเป็นผลความเสมอภาคซึ่งปกติถูกมองในแง่ของที่มีอยู่ในธรรมชาติของสังคม สำหรับอนุรักษ์นิยมแล้วการใช้อำนาจของรัฐบาลทั้งปวงเพื่อรักษาไว้ซึ่งประเพณี
และจริยธรรมทางสังคม มีผลเป็นความเสมอภาคในสังคมเช่นเดียวกัน (Roskin,
2003: 96)
ในทัศนะของการเมืองอนุรักษ์นิยม อาจพิจารณาในรูปแบบของการกำหนดลักษณะของอนุรักษ์นิยมได้ดังนี้
(1)
การสนับสนุนความมีระเบียบวินัย (Discipline) ซึ่งหมายความว่ามีการตีกรอบการปฏิบัติเพื่อรักษาเสถียรภาพโดยวิธีการให้ยอมรับอำนาจในความชอบธรรมที่มีอยู่แล้วแต่เดิม
(Traditional authority) เช่น
นับถือพวกเกิดในตระกูลเก่าที่รู้จักกันมาช้านาน
ยอมรับในเรื่องเครื่องแบบและเหรียญตรา
(2)
การลงโทษบุคคลนั้นเป็น
วิธีการที่จะขจัดความชั่วร้ายที่เป็นสันดานของมนุษย์ เพื่อให้หลาบจำ
(3)
การเน้นประสบการณ์มากกว่าเหตุผล หมายความว่า
ไม่รับทฤษฎีทางวิชาการใหม่ๆ ที่ไกลตัวและมักจะเป็นพวกคิดช้า ไม่ก้าวกระโดด
(4)
ไม่นิยมการเปลี่ยนแปลอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ฉับพลัน และการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบสถานภาพเดิมอย่างมาก
(5)
ถือว่าความเสมอภาคเป็นอันตรายต่อ เสรีภาพ
เมื่อทุกคนมีความเสมอภาคแล้วย่อมสามารถใช้เสียงส่วนใหญ่
หรือเสียงข้างมากในการจำกัดเสรีภาพของบุคคลได้ อเลคซิสต์ เดอ ทอคเกอวิลส์ (Alexis de
Tocqueville) ให้ข้อคิดที่สำคัญ โดยให้ระวังเรื่อง “ทรราชเสียงข้างมาก” (Tyranny of majority) อันเกิดจากระบบความเสมอภาคอันเป็นลักษณะความเสมอภาคเชิงจำนวนเท่านั้น
(6)
อนุรักษ์นิยมสนใจความเป็นมาทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์
การบังคับใช้มาตรฐานเดียวกันที่เป็นลักษณะสากล (universality) โดยไม่พิจารณาถึงความเป็นมาของสังคมเป็นสิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
เช่นบางสังคมมีวัฒนธรรมจำกัดสิทธิสตรีในทางการเมือง เป็นต้น
(7)
สนับสนุนรัฐบาลในความเชื่อที่ว่ารัฐบาลเป็นผู้พิทักษ์และรักสาเสถียรภาพของสังคม
นอกจากนี้ อาจพิจารณาในด้านมิติของอนุรักษ์นิยมที่มีต่อสังคมได้อีกด้านหนึ่งของการศึกษา
การแบ่งมิติออกเป็นสามส่วนคือ
(1)
มิติทางสังคม มีความเชื่อว่ามนุษย์ในสภาพธรรมชาติ
มีความชั่วร้ายจึงต้องมีสัญญาระหว่างกันเพื่อจัดตั้งรัฐและรัฐบาล ซึ่งเป็นความเห็นของโทมัส
ฮอบส์ (Thomas
Hobbes)
(2)
มิติทางสถาบัน
สถาบันทางการเมืองต้องก่อตั้งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมและความเป็นมาของสังคม
การลอกเลียนแบบมาจากสังคมอื่นที่มีความเป็นมาที่แตกต่างกันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
(3)
มิติทางการเมือง อนุรักษ์นิยมยึดถือนโยบาย
ผลการปฏิบัติ (Pragmatic)
คือเลือกในนโยบายที่ ปฏิบัติได้ มากกว่าที่สูงเกินความสามารถ ไม่สนับสนุนการกระทำใดๆ อันละเมิดทรัพย์สินส่วนบุคคลและสนับสนุนการค้าเสรีเป็นต้น
2 เสรีนิยม (liberalism) เป็นอุดมการณ์ที่เน้นเสรีภาพของปัจเจกชนอย่างสูงยิ่ง
โดยบทบาทของรัฐบาลควรจะได้ถูกจำกัด เช่น สถาบันที่อาจทำให้กระทบกระเทือนเสรีภาพ
ได้แก่ รัฐ องค์การศาสนาและแม้แต่กองทัพ จะต้องถูกจำกัดอำนาจลง อีกประการคือ
เสรีนิยมเชื่อว่ามนุษย์โดยธรรมชาติมุ่งทำแต่สิ่งที่ดีมีหลัก
สนับสนุนความเท่าเทียมกันในโอกาสและถือว่าค่านิยมบางอย่างถือเป็นสากลเช่นสิทธิมนุษยชน (Human rights) อย่างไรก็ดี
เสรีนิยมก็ยังยอมรับว่ามีความจำเป็นต้องมีรัฐบาล
เสรีนิยมอาจแบ่งออกได้เป็นสองแนวคิด เสรีนิยมดั้งเดิมที่เรียกว่า Classic
liberalism ที่เน้นเสรีภาพ ไม่ต้องการให้รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเอกชนโดยไม่จำเป็น
ส่วนเสรีนิยมใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายกับสังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic
socialism) คือยินยอมให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนในกิจการบางอย่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสาธารณประโยชน์
คุณภาพสินค้า และกิจการสวัสดิการแรงงาน เป็นต้น ทั้งนี้รวมถึงเสรีนิยมด้านเศรษฐกิจ
(Economic liberalism) ซึ่งเราอาจพิจารณาแนวคิดของจอห์น ล็อค
(John Locke) ในศตวรรษที่ 17 ได้ดังนี้
2.1 เสรีนิยมดั้งเดิม (Classical
liberality) มีองค์ประกอบดังนี้
(1) การยอมรับ
เสรีภาพของปัจเจกชน (Individualism) โดยรวม เช่น การเมือง
เศรษฐกิจ และการเชื่อถือในลัทธิใดๆ
ในเวลาเดียวกันจำกัดอำนาจของสถาบันทางการเมืองและสังคมทุกประเภทที่อาจทำให้กระทบต่อเสรีภาพ
ส่วนบุคคล และในศตวรรษที่ 19 (จอห์น สจ็วต มิลล์) John
Stuart Mill นักปราชญ์อังกฤษ ยืนยันว่ารัฐไม่อาจละเลยเสียงข้างน้อยแม้ว่าจะมีเพียงเสียงเดียว
(2) เคารพในเหตุผล (Rationalist) เชื่อว่าปัญหาในสังคมทั้งปวงแก้ได้ด้วยเหตุและผล โดยศึกษาให้ได้ความรู้
ความเข้าใจ และให้หลักเหตุผลในการแก้ปัญหา
(3) เชื่อในการเปลี่ยนแปลง (Change)
เสรีนิยมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความก้าวหน้า
ไม่ยึดติดอยู่ในค่านิยม
(4) เชื่อในหลักสิทธิมนุษยชน (Human rights)
และหลักสากลของการให้โอกาสในความเสมอภาค
2.2 เสรีนิยมแนวใหม่ใหม่ (Neo-liberalism) เสรีนิยมใหม่เกิดในศตวรรษที่
20 โดยมีแนวคิดไปในทางประชาธิปไตยสังคมนิยม
เช่นยอมให้รัฐเข้ามาก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพของเอกชนได้ในกิจการที่เกี่ยวกับสาธารณะ
และรัฐสามารถวางมาตรการควบคุมด้านเศรษฐกิจและแรงงานได้ด้วย
อาจพิจารณาเสรีนิยมใหม่ในเนื้อหา ของเศรษฐกิจได้อีกด้วย
เช่นรัฐบาลต้องสงเคราะห์ประชาชนในเรื่อง การประกันสุขภาพ การจ่ายเงินทดแทนแรงงาน สนับสนุนองค์การกรรมกร
การพิจารณาความเป็นธรรมในเรื่องภาษี เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าเสรีนิยมแนวใหม่มุ่งในปัจจัยด้านเศรษฐกิจคู่ควบไปกับปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ
(Non-economic liberalism)
3 สังคมนิยม (Socialism) เป็นอุดมการณ์ที่เกิดขึ้นจากความไม่พึงพอใจทั้งในเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม
เชื่อว่าอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองที่รัฐบาลได้ใช้ก็เพื่อประโยชน์ของคนทุกหมู่เหล่าในสังคม
รัฐบาลจะต้องไม่ใช้วิธีรุนแรงเข้าดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการต่างๆ
รวมทั้งการจัดการแรงงานและค่าจ้าง
และการจัดสวัสดิการคนชราและคนว่างงานเป็นหน้าที่ของรัฐ
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนและสังคมในอุดมการณ์สังคมนิยมนั้นพบว่า
รัฐมีหน้าที่ต้องประกันด้านคุณภาพการศึกษา ที่อยู่อาศัย การสาธารณสุข
การมีงานทำและจัดการด้านการเงินในกรณีความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ประชาชน สังคมนิยมอาจแบ่งออกได้เป็นสองแนวคิด
แนวแรกเรียกว่า สังคมนิยมแบบอุดมคติ (Utopian socialism) แนวคิดนี้มีความเชื่อว่าถ้าสังคมเพียบพร้อมและนำความสุขมาให้สมาชิกในสังคมได้เท่าเทียมกันแล้ว
สมาชิกในสังคมจะไม่แข่งขันแก่งแย่งกันในการถือครองปัจจัยการผลิต ดังนั้น
รัฐจึงควรให้ประชาชนทุกคนถือครองกรรมสิทธิ์ร่วมกันและร่วมใจกันประกอบกิจการร่วมกัน
รวมถึงการจัดสรรประโยชน์จึงเป็นอันว่ากรรมสิทธิ์ส่วนตัวเป็นอันยกเลิกไปทั้งสิ้นและไม่เป็นที่พึงปรารถนาของสังคม สำหรับแนวคิดที่สองคือ สังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic
socialism) เชื่อว่าการแข่งขันระหว่าสมาชิกในเชิงเศรษฐกิจในสังคมจะหมดไปโดยรัฐเข้าควบคุมกิจการขนาดใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเสีย
นอกจากนั้นประชาชนคงยังมีเสรีภาพ
เสมอภาคในสังคมเช่นเดิม
แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลาย (Baradat, 1997: 92)
3.1 สังคมนิยมอุดมคติ (Utopia) โทมัส
มอร์ (Thomas More) ผู้เขียนรัฐในอุดมคติ (Utopia,
1561) กล่าวว่าประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน
ทำงานร่วมกัน แม้แต่แต่งกายเหมือนกัน
ผู้แต่งงานแล้วมีเครื่องหมายแสดงให้เห็นชัดเจน ทุกคนในรัฐไม่ใช้ของฟุ่มเฟือย
หรือเครื่องประดับ ผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดของมอร์ (More) เช่น
ฟานซิสต์ เบคอน (Francis Bacon) ชังค์ ฌาคซ์ รุสโซ (Jean
Jacques Rousseau) ทั้งหมดนี้สนับสนุนการไม่มีกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนตัว
และต่อต้านการเอารับเอาเปรียบคนยากจน แสวงความรู้ในการจัดสังคมที่เหมาะสม
นับได้ว่ายากที่จะปฏิบัติได้จริงนอกจากเป็นเพียงรัฐในอุดมคติเท่านั้น
3.2 สังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic
socialism) แนวคิดนี้เริ่มตั้งแต่ปี
ค.ศ.1883
ในประเทศอังกฤษ จอร์จ เบอร์นาต ชอว์ (George Bernard
Shaw) เฮช จี เวลส์ (H.G.Wells)
และ ซิดนี่ย์ เวบาร์ (Sidney Webba) เป็นสมาชิกสำคัญของสมาคม
สังคมนิยมเฟเบียน (Fabian Socialism) ลักษณะที่สำคัญคือ
การเข้ามีส่วนร่วมในกิจการสำคัญของรัฐโดยใช้วิธีออมชอม
และจัดสวัสดิการต่างๆให้แก่กรรมกร
ในที่สุดก็สามารถรวบรวมกันจัดตั้งพรรคเลเบอร์ขึ้นในอังกฤษ (Labor Party) อังกฤษได้นำแนวความคิดนี้มาใช้โดยกำหนดเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในยุคต่างๆ
เช่น การจัดสวัสดิการคนชราและอื่นๆ
เช่นเดียวกับแนวนโยบายของรัฐบาลในกลุ่มประเทศสแกนดิเนียเวีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสวีเดน ซึ่งนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาสังคมที่เรียกว่า “รัฐสวัสดิการ” ส่งผลต่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
ความสำเร็จในการนำแนวนโยบายสวัสดิการดังกล่าวทำให้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศโลกที่สามที่พยายามนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาสังคมในปัจจุบัน
4 อำนาจนิยม (authoritarianism)
อุดมการณ์นี้เชื่อว่ารัฐบาลต้องเข้ากำกับดูแลพฤติกรรมของประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จและเพื่อความมั่นคงของรัฐ
จะต้องสอดส่องโดยสงสัยว่าประชาชนจะคิดร้ายต่อรัฐ
เข้าแทรกกิจการของเอกชนโดยถือว่ารัฐคือองค์การที่ใหญ่กว่าบุคคล
เหนือกว่าบุคคล ต้องมีคุณภาพดีกว่า
ถูกต้องกว่าเสมอ อำนาจนิยมนี้มีทั้งซ้ายและขวา อำนาจนิยมฝ่ายขวา เรียกว่า ฟาสซิสต์
(Fascism)
อำนาจนิยมฝ่ายซ้ายเรียกว่า คอมมิวนิสต์ (Communism) ลักษณะของอำนาจนิยมพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ เช่น เน้นเรื่องชาตินิยม
เน้นความมั่นคงด้านการทหาร
เน้นสถานการณ์ทียังไม่เหมาะสมที่จะเป็นประชาธิปไตย
เน้นอำนาจเด็ดขาดของผู้นำ
เน้นระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมและเน้นความเป็นกลางในกิจการระหว่างประเทศ (Roskin,
2003: 96-100)
5
อุดมการณ์ทางการเมืองในวันนี้ (Ideology in Our
Day)
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศยุโรปตะวันออก
และอดีตประเทศสหภาพโซเวียต ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุดมการณ์ทางการเมืองขนานใหญ่ บรรดาผู้นำของประเทศทั้งหลายในโลกคอมมิวนิสต์
ต่างเริ่มคิดว่าระบบเศรษฐกิจอาจแข็งตัวเกินไป วิธีการลดระดับการควบคุมของรัฐ
การเปิดเสรีทางการลงทุน เริ่มมีบทบาทขึ้น โดยนายมิคคาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) อดีตประธานาธิบดีประเทศสหภาพโซเวียต ได้นำแนวคิด ที่เรียกว่า “สามง่าม” (A three-pronged) เพื่อความเข้มแข็งของอดีตสหภาพโซเวียต
นโยบายดังกล่าวประกอบด้วย (1) การเปิดเผยปัญหา (Publicizing
problems = Glasnost) (2) การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Economic
restructuring=perestroika) และ (3)
การทำให้เป็นประชาธิปไตย (Democratization=domokratizatzia) นอกจากอดีตประเทศสหภาพโซเวียตแล้วในประเทศยุโรปตะวันออก มีพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์เข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น
ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเกิดปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรงโดยที่อดีตประเทศสหภาพโซเวียต
ได้ยุติลงปลายปี ค.ศ. 1991
5.1 อนุรักษ์นิยมแนวใหม่ (Neo-Conservatism) ในช่วงทศวรรษที่
1970 แนวความคิดใหม่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า อนุรักษ์นิยมแนวใหม่ หมายความว่า
เป็นเสรีนิยมที่หมกมุ่นอยู่ในเรื่องของความเป็นจริง (Roskin, 2003 : 108) พวกอนุรักษ์นิยมแนวใหม่ได้แสดงความคิดเห็นว่าพรรคเดโมแครทได้ดำเนินนโยบายการทางการเมืองไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงทั้งในและต่างประเทศ และการเงินได้ถูกใช้ไปในสงครามเวียต นานมากเกินกว่าที่จะขยายชุมชนตามนโยบาย
“The Great Society”ได้
ลักษณะของอนุรักษ์นิยมแนวใหม่อีกประการก็คือ พิจารณาสิ่งแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคมสิ่งแวดล้อมโดยรอบคอบทุกภาคส่วนของสังคม
5.2 ลัทธิเสรีนิยม
(Libertarianism)
แนวคิดนี้มาจาก Adam Smith และพัฒนามาเป็นพวกที่เรียกว่า
พวกเสรีนิยมแนวใหม่ (Neo-Libertarianism) โดยต้องการควบคุมระบบเศรษฐกิจทั้งหมดและปล่อยเสรีส่วนบุคคล
สำหรับพวกอนุรักษ์นิยมแนวใหม่ต้องการเศรษฐกิจเสรีและควบคุมเสรีส่วนบุคคล
ฝ่ายสนับสนุนความเป็นเสรีนิยมเห็นว่าควรรวมทั้งสองแนวเข้าหากันและแนวคิดของความเป็นเสรีนิยมคือลดระดับอำนาจของรัฐบาลและปล่อยเสรีส่วนบุคคลนั่นเอง
5.3 สตรีนิยม (Feminism)
แนวคิดความเสมอภาคในเรื่องจิตวิทยา เศรษฐกิจ
และการเมืองของสตรี ในช่วงทศวรรษที่ 1970
ขบวนการสตรีเป็นกำลังทางการเมืองที่เข้มแข็งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก
ปัญหาเกิดจากจิตวิทยาในเรื่องความเป็นผู้ชาย และความเป็นผู้หญิง
และในที่สุดขณะนี้พบว่าสังคมได้ให้ความเท่าเทียมกันในโอกาสของเพศหญิงมากขึ้น เช่น สามีทำงานบ้านและดูแลลูกด้วย
เป็นต้น
ส่วนเพศหญิงโอกาสในการดำรงตำแหน่งสูงทางราชการหรือการเมืองมากขึ้นและในทางการเมือง
สตรีเพศออกเสียงลงคะแนนให้พรรคเดโมแครทโดยเฉพาะโหวตให้บิลส์ คลินตัน (Bill
Clinton) ชนะถึงสองครั้ง พัฒนาการของกระแสสตรีนิยมปรากฏผลในการช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้งในปี
ค.ศ.2008 โดยเป็นการแข่งขันระหว่างตัวแทนพรรคในเวลานั้นระหว่างโอบามา
(Obama)จากพรรคเดโมแครต (Democrat Party) และนายจอห์น แมคเคน (John
McCain) แห่งพรรครีพับรีกัน (Republican Party) ซึ่งในช่วงท้ายของการหาเสียงนายจอห์น แมคเคน ได้เลือกนางเพ ริน (Pa
Lin)เป็นผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของตนเองหากประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง
โดยต้องการได้เสียงสนับสนุนจากกลุ่มสตรีซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของตนและพรรครีพับรีกัน
ในขณะที่ได้โอบามามีนางฮิลลารี (Hilary) ซึ่งเป็นผู้ที่มีเสียงสนับสนุนจากกลุ่มสตรีจำนวนมากจากพรรคเดียวกันและเคยเป็นอดีตผู้สมัครตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตเป็นผู้สนับสนุน
ผลปรากฏว่านายโอบามา ประสบชัยชนะได้เป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
5.4 อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนิยม (Environmentalism) แนวคิดเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแพร่หลายมากขึ้นจนกลายเป็นสากลทั่วโลกจนในที่สุดทราบว่ามีการจัดตั้งพรรคการเมืองโดยมีนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ในยุโรปตะวันตกมีพรรค Green และพรรค Citizen สำหรับพรรค Green ได้รับเลือกเข้าสภาและมีนโยบายหยุดยั้งอำนาจนิวเคลียร์
เป็นต้น
5.5 อิสลามนิยม (Islamism) เป็นแนวคิดที่นำเอาศาสนาอิสลามมาเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง
เกิดครั้งแรกในการปฏิวัติอิหร่าน ปี ค.ศ.1979 โดยแนวคิดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการทุจริตของรัฐบาล
และการปกครองที่ล้มเหลว ส่งผลให้ประชาชนเกิดการว่างงานอย่างรุนแรง แนวคิดกระบวนการอิสลามนิยมนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ประชาคมประเทศมุสลิม
และแพร่ขยายออกไปทั่วโลกในเวลาต่อมา แต่ปัญหาการเข้าร่วมในขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ
การทำลายล้างอิทธิพลของอเมริกันและบางประเทศในยุโรป เป็นความผิดพลาดและทำให้ศาสนาอิสลามได้ลดความนิยมลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ประเทศมุสลิมบางประเทศ อาทิ ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น ได้ทำการต่อต้านกระบวนการ “อิสลามนิยม” (Islamism) ที่ถือว่าผิดว่าผิดหลักการทางศาสนาดังกล่าว
6 สรุป
ผลจากการติดตามแนวความคิดของนักวิชาการทางสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
(Harvard
University) บางกลุ่ม พบว่า อุดมการณ์ทางการเมืองน่าจะถึงจุดสมบูรณ์
(Finish) แล้ว โดยอ้างแนวคิดของเฮเกล (Hegel) ว่า “เสรีชนได้อยู่ในสังคมเสรีแล้ว (Free
people living in free societies) จึงไม่มีการต่อสู้กันในด้านอุดมการณ์ทางการเมืองอีกต่อไป” แนวคิดดังกล่าวสามารถนำมาอธิบายถึงกรณีการล่มสลายของอดีตประเทศสหภาพโซเวียตได้
แต่อย่างไรก็ตาม
แม้การล่มสลายของประเทศแม่แบบอุดมการณ์สังคมนิยมอย่างสหภาพโซเวียตจะทำให้แนวคิดของมาร์กซิสต์
(Marxism) ต้นแบบล่มสลายไป ในทางตรงกันข้ามแนวคิดโซเชียลลิสต์
(Socialist) ยังคงมีอยู่ในกลุ่มของบรรดานักนิยมสังคมนิยม แม้ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ยังมีอยู่
สำหรับสิ่งที่ท้าทายความสมบูรณ์ของอุดมการณ์ก็คือ
การเกิดใหม่ของแนวคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองใหม่ๆ เช่น นีโอฟาสซิสต์ (Neo-Fascism)
อิสลามิคนิยม (Islamism) รวมถึงแนวประชาธิปไตย
(Democracy) โดยทั้งหมดต่างก็มีความหลากหลายในอุดมการณ์ เช่น
การตลาดเสรีหรือบทบาทการแทรกแซงรัฐ และระบบการสวัสดิการ เป็นต้น